❤ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา
จิตวิทยา คือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเกี่ยวกับจิตใจ (กระบวนการของจิต) , กระบวนความคิด, และพฤติกรรม ของมนุษย์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหาที่นักจิตวิทยาศึกษาเช่น การรับรู้ (กระบวนการรับข้อมูลของมนุษย์) , อารมณ์, บุคลิกภาพ, พฤติกรรม, และรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จิตวิทยายังมีความหมายรวมไปถึงการประยุกต์ใช้ความรู้กับกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน (เช่นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในครอบครัว, ระบบการศึกษา, การจ้างงานเป็นต้น) และยังรวมถึงการใช้ความรู้ทางจิตวิทยาสำหรับการรักษาปัญหาสุขภาพจิต นักจิตวิทยามีความพยายามที่จะศึกษาทำความเข้าใจถึงหน้าที่หรือจุดประสงค์ต่าง ๆ ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากตัวบุคคลและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำการศึกษาขั้นตอนของระบบประสาทซึ่งมีผลต่อการควบคุมและแสดงออกของพฤติกรรม
สาขาวิชาจิตวิทยา
1.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์และการรักษาความผิดปกติของจิตวิทยา เช่น โรงพยาบาลจิตเวช คลีนิคให้คำปรึกษา ศูนย์สุขภาพ
2.จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (Counseling Psychology) นักจิตวิทยาการให้คำปรึกษาให้บุคคลมีการปรับตัวต่อปัญหาทางอารมณ์ หรือปัญหาส่วนตัว ส่วนมากจะทำงานในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
3.จิตวิทยาโรงเรียนและจิตวิทยาการศึกษา (Educational and School Psychology) มีหน้าที่ในการวิเคราะห์และปรับปรุงการศึกษาอย่างมีแบบแผน
4.จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์โดยทดลองผ่านสัตว์โดยการทำวิจัยในห้องทดลอง
5.สรีระจิตวิทยา (Physiological Psychology) ได้ศึกษากระบวนการพื้นฐานเดียวกันกับนักจิตวิทยาการทดลองแต่นักสรีระวิทยาจะศึกษากระบวนการพื้นฐานว่าถูกควบคุมโดยระบบประสาทอย่างไร
6.จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Personality Psychology) สนใจความแตกต่างด้านพฤติกรรมที่มีปัจจัยจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมว่ามีอิทธิพลต่อลักษณะทางบุคลิกภาพของบุคคล
7.จิตวิทยาสังคม(Social Psychology) แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของบุคลิกภาพแต่มีปัจจัยแวดล้อมอื่น โดยเฉพาะบุคคลแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของบุคคล
8.จิตวิทยาพัฒนาการ(Developmental Psychology) ให้ความสนใจในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบที่ปรากฏในบุคคลตลองช่วงชีวิตของบุคคลโดยศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา
9.จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) ให้ความสำคัญกับลักษณะต่าง ๆของพฤติกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงาน
ประโยชน์ของจิตวิทยา
1. ทำให้บุคคลมีความเข้าใจตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมผู้อื่นได้
2. ช่วยทำนายพฤติกรรมของบุคคอื่น
3. นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ
การขยายตัวทางจิตวิทยา
ปฏิบัติการทดลองทางจิตวิทยาห้องแรก ถูกสร้างขึ้นโดย Wilhelm Wundt ในปี ค.ศ. 1879 ที่เมืองไลป์ซิก ประเทศเยอรมนี โดยมีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้น คือ กลุ่มโครงสร้างนิยม (Structuralism) การศึกษาจิตต้องศึกษาส่วนย่อย ๆ ที่ประกอบขึ้นมา ใช้วิธีการพื้นฐานทางจิตวิทยา คือ การสังเกตตนเอง หรือที่เรียกว่า การตรวจพินิจจิต (Introspection)
ในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่อีก คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (Functionalism) นักจิตวิทยากลุ่มนี้เห็นว่า จิตวิทยาควรเป็นการศึกษาวิธีการที่คนเราใช้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลนั้นพอใจ และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของบุคคลนั้นด้วย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจ ความรู้สำนึก (consciousness) เพราะความรู้สำนึกเป็นเครื่องมือที่ทำให้บุคคลเลือกกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้สำนึกเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไม่สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกว่าการศึกษาพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาให้เห็น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้เสนอทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) โดยมีวิธีการศึกษา จากการสังเกตและรวบรวมประวัติคนไข้ที่มารับการบำบัดรักษา ฟรอยด์เชื่อว่าความไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเน้นถึงความต้องการทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วัตสัน ได้ก่อตั้ง กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) โดยเห็นว่า การตรวจพินิจจิตเป็นวิธีการที่ไม่ดีพอ การศึกษาจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สำนึก แล้วหันไปศึกษา พฤติกรรมที่มองเห็นได้ เพื่อให้สามารถทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ และเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่าพันธุกรรมอีกด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเยอรมนีได้เกิดกลุ่มจิตวิทยาขึ้น ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์(Gestalt Psychology) แนวคิดของจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นว่า การทำงานของจิตเป็นการทำงานของส่วนรวม ดังนั้นจึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่วน ย่อย แนวคิดนี้เริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและ บุคลิกภาพ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (Cognitive psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากนั้นมา จิตวิทยาก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปและนิสิตนักศึกษามาก ขึ้นเรื่อยๆ
ในปี ค.ศ. 1890 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มจิตวิทยาขึ้นใหม่อีก คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (Functionalism) นักจิตวิทยากลุ่มนี้เห็นว่า จิตวิทยาควรเป็นการศึกษาวิธีการที่คนเราใช้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีการที่บุคคลนั้นพอใจ และเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพของบุคคลนั้นด้วย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจ ความรู้สำนึก (consciousness) เพราะความรู้สำนึกเป็นเครื่องมือที่ทำให้บุคคลเลือกกระทำพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ความรู้สำนึกเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ไม่สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มนี้สนใจศึกษาสาเหตุของพฤติกรรมมากกว่าการศึกษาพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาให้เห็น
ในช่วงเวลาเดียวกัน ซิกมันด์ ฟรอยด์ ได้เสนอทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory) โดยมีวิธีการศึกษา จากการสังเกตและรวบรวมประวัติคนไข้ที่มารับการบำบัดรักษา ฟรอยด์เชื่อว่าความไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และเน้นถึงความต้องการทางเพศตั้งแต่วัยเด็ก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จอห์น บี วัตสัน ได้ก่อตั้ง กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioralism) โดยเห็นว่า การตรวจพินิจจิตเป็นวิธีการที่ไม่ดีพอ การศึกษาจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงการศึกษาจากความรู้สำนึก แล้วหันไปศึกษา พฤติกรรมที่มองเห็นได้ เพื่อให้สามารถทำนายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ และเน้นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมมากกว่าพันธุกรรมอีกด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน ประเทศเยอรมนีได้เกิดกลุ่มจิตวิทยาขึ้น ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์(Gestalt Psychology) แนวคิดของจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นว่า การทำงานของจิตเป็นการทำงานของส่วนรวม ดังนั้นจึงสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่วน ย่อย แนวคิดนี้เริ่มมีบทบาทขึ้นเมื่อนักจิตวิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจในปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและ บุคลิกภาพ จนนำไปสู่การเกิดขึ้นของกลุ่มจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (Cognitive psychology) ซึ่งเกี่ยวข้องกับกลไกภายใน ที่มีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และต่อจากนั้นมา จิตวิทยาก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปและนิสิตนักศึกษามาก ขึ้นเรื่อยๆ
สาขาวิชาจิตวิทยา
1.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์และการรักษาความผิดปกติของจิตวิทยา เช่น โรงพยาบาลจิตเวช คลีนิคให้คำปรึกษา ศูนย์สุขภาพ
2.จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (Counseling Psychology) นักจิตวิทยาการให้คำปรึกษาให้บุคคลมีการปรับตัวต่อปัญหาทางอารมณ์ หรือปัญหาส่วนตัว ส่วนมากจะทำงานในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย
3.จิตวิทยาโรงเรียนและจิตวิทยาการศึกษา (Educational and School Psychology) มีหน้าที่ในการวิเคราะห์และปรับปรุงการศึกษาอย่างมีแบบแผน
4.จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์โดยทดลองผ่านสัตว์โดยการทำวิจัยในห้องทดลอง
5.สรีระจิตวิทยา (Physiological Psychology) ได้ศึกษากระบวนการพื้นฐานเดียวกันกับนักจิตวิทยาการทดลองแต่นักสรีระวิทยาจะศึกษากระบวนการพื้นฐานว่าถูกควบคุมโดยระบบประสาทอย่างไร
6.จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Personality Psychology) สนใจความแตกต่างด้านพฤติกรรมที่มีปัจจัยจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมว่ามีอิทธิพลต่อลักษณะทางบุคลิกภาพของบุคคล
7.จิตวิทยาสังคม(Social Psychology) แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของบุคลิกภาพแต่มีปัจจัยแวดล้อมอื่น โดยเฉพาะบุคคลแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของบุคคล
8.จิตวิทยาพัฒนาการ(Developmental Psychology) ให้ความสนใจในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบที่ปรากฏในบุคคลตลองช่วงชีวิตของบุคคลโดยศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา
9.จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial and Organizational Psychology) ให้ความสำคัญกับลักษณะต่าง ๆของพฤติกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำงาน
ประโยชน์ของจิตวิทยา
1. ทำให้บุคคลมีความเข้าใจตนเองและผู้อื่น ทำให้สามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมผู้อื่นได้
2. ช่วยทำนายพฤติกรรมของบุคคอื่น
3. นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น